Royal Barges National Museum
Royal Barges National Museum, Bangkok พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี กรุงเทพมหานคร
เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์
เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ลำปัจจุบัน สร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๖ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๔ โดยตั้งชื่อตามเรือพระที่นั่งโบราณของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา คือ เรือศรีสุพรรณหงส์ หรือ เรือพระที่นั่งชัยสุพรรณหงส์ สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๐๙๑ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายมีชื่อเรือพระที่นั่ง สุวรรณหงส์ สมัยรัชกาลที่ ๑ (พุทธศักราช ๒๓๒๕ - ๒๓๕๒) ปรากฏชื่อเรือพระที่นั่ง สุวรรณหงส์ และ รัชกาลที่ ๓ (พุทธศักราช ๒๓๖๗ - ๒๓๙๔) ปรากฏชื่อเรือพระที่นั่ง ศรีสุพรรณหงส์ หัวเรือพระที่นั่งนี้มีโขนเรือรูปหัวของหงส์ ลำตัวเรือทอดยาวคือส่วนตัวหงส์ จำหลักไม้ลงรักปิดทองประดับกระจกมีพู่ห้อย ปลายพู่เป็นแก้วผลึก ภายนอกทาสีดำ ท้องเรือทาสีแดง ตอนกลางลำเรือมีที่ประทับเรียก ราชบัลลังก์กัญญา สำหรับพระเจ้าอยู่หัวหรือพระราชวงศ์ชั้นสูง เรือมีความยาว ๔๖.๑๕ เมตร กว้าง ๓.๑๗ เมตร ลึกจนถึงท้องเรือ ๙๔ เซนติเมตร กินน้ำลึก ๔๑ เซนติเมตร น้ำหนัก ๑๕ ตัน ใช้กำลังพลประกอบด้วย ฝีพาย ๕๐ คน นายเรือ ๒ คน นายท้าย ๒ คน คนถือธงท้าย ๑ คน พลสัญญาณ ๑ คน คนถือฉัตร ๗ คน คนขานยาว ๑ คน คนขานยาวทำหน้าที่ในการร้องขานเพลงเรือโดยฝีพายจะร้องเห่เรือพร้อมกันไปตามจังหวะร่วมกับเรือลำอื่นๆ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ได้รับรางวัลยกย่องให้เป็นเรือมรดกโลก จากองค์กรที่เรียกว่า World Ship Trust เมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๕
เรืออสุรวายุภักษ์
เรืออสุรวายุภักษ์ มีเรืออีกลำที่คู่กันคือเรืออสุรปักษี ชื่อเรืออสุรวายุภักษ์ เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า “อสูรผู้มีลมเป็นอาหาร” หัวเรือมีหัวเรือหน้าเป็นยักษ์ (ไทยเรามักเรียก อสูร ว่า ยักษ์) มีร่างกายเป็นนก ลงรักปิดทองประดับกระจก รูปอสุรวายุภักษ์ ใส่เสื้อสีม่วง มือและเท้าเป็นสีคราม เรือทั้งสองลำนี้สร้างขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พุทธศักราช ๒๓๒๕ - ๒๓๕๒) บูรณะในพุทธศักราช ๒๕๐๘ ดำเนินการโดยความร่วมมือกัน ระหว่างกองทัพเรือและกรมศิลปากร เรือมีความยาว ๓๑ เมตร กว้าง ๒.๐๓ เมตร ลึกถึงท้องเรือ ๖๒ เซนติเมตร มีกำลังพลประกอบด้วยฝีพาย ๔๐ คน นายเรือ ๑ คน นายท้าย ๒ คน คนถือธงท้าย ๑ คน พลสัญญาณ ๑ คน คนกระทุ้งเส้า (ให้จังหวะ) ๒ คน และคนตีกลองชนะ ๑๐ คน
The Royal Barge Anekkachatphutchong, National Museum of the Royal Barges เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี
เรือเอกชัยเหินหาว
เอกชัยเหินหาว และเรืออีกลำที่คู่กันคือเอกชัยหลาวทอง ลักษณะใกล้เคียงกัน หัวเรือเป็นรูปดั้งเชิดสูงงอนขึ้นไป ลงรักปิดทองเขียนลายรดน้ำรูปเหรา (อ่าน เห-รา) ซึ่งเป็นสัตว์ในตำนาน ลักษณะคล้ายมังกรแต่มีหัวเป็นงูหรือนาค อย่างไรก็ตามเรือ ๒ ลำนี้มีรูปลักษณ์ของหัวเรือที่ต่างกันอยู่บ้างเป็นที่สังเกตได้ เอกชัยเหินหาว แปลว่า “ชัยชนะสูงสุดทะยานสู่ท้องฟ้า” เอกชัยหลาวทอง แปลว่า “เรือทองที่บรรจงสร้าง (โดยการหลาวหรือเหลา) เพื่อชัยชนะ” หรือแปลว่า “หลาว (อาวุธ) ทองคำที่นำชัยชนะ” ชื่อเรือ ๒ ลำนี้ปรากฏอยู่ในสมุดภาพเรือในกระบวนพยุหยาตราชลมารคสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พุทธศักราช ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑) แห่งกรุงศรีอยุธยา เรือเอกชัยเหินหาว และเอกชัยหลาวทองตามรูปลักษณ์ปัจจุบัน สร้างขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ (พุทธศักราช ๒๓๒๕ - ๒๓๕๒) เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒ ระเบิดจากอากาศยานที่ถล่มกรุงเทพมหานครสร้างความเสียหายให้กับเรือพระราชพิธีทั้งสองลำนี้มาก ในพุทธศักราช ๒๕๐๘ กองทัพเรือและกรมศิลปากรร่วมกันบูรณะเรือสองลำนี้ใหม่โดยใช้หัวเรือเดิมมาประกอบ เรือ ๒ ลำถือว่าเป็นเรือคู่ชัก หมายความว่าใช้เป็นเรือชักลากเรือพระที่นั่ง เช่น ชักลากเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เมื่อน้ำเชี่ยวหรือต้องการให้แล่นเร็วขึ้น และเป็นเรือคู่นำหน้าเรือพระที่นั่ง ต่อมาใช้เป็นเรือสำหรับให้ข้าราชการชั้นสูงนั่ง เรือมีความยาว ๒๗.๕๐ เมตร กว้าง ๑.๙๗ เมตร ลึกถึงท้องเรือ ๖๐ เซนติเมตร กินน้ำลึก ๗๒ เซนติเมตร น้ำหนัก ๗.๗ ตัน แต่ละลำมีกำลังพลประกอบด้วย ฝีพาย ๓๘ คน นายเรือ ๒ คน นายท้าย ๒ คน คนถือธงท้าย ๑ คน พลสัญญาณ ๑ คน
ข้อมูลจาก https://phralan.in.th/Coronation/finalceremonies.php และ http://www.virtualmuseum.finearts.go.th/royalbarges/index.php/th/hilight/เรือพระราชพิธี.html